จันทร์-เสาร์
081-195-6915
ต. บางกระสอ อ. เมือง จ. นนทบุรี
เมื่อเริ่มทำงานมีรายได้ หน้าที่สำคัญที่เพิ่มขึ้นมาคือการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปี แต่หลายคนที่ยังไม่เคยเสียภาษีอาจจะมีคำถามว่าวิธีคิดภาษีต้องคิดอย่างไร? ต้องเอาเงินตรงไหนมาคำนวณบ้าง? กรุงไทยรวบรวมเนื้อหาและตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องรู้ พร้อมข้อมูลเรื่องสิทธิลดหย่อนให้ทุกคนได้เตรียมตัวสำหรับการวางแผนจ่ายภาษี สรุปชัดไว้ในบทความนี้แล้ว
เงินได้ที่ต้องเสียภาษี คือ เงินได้หรือรายได้ที่เราได้รับจากการทำงาน เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ เป็นต้น
รายได้
รายได้รวมตลอดทั้งปี ตั้งแต่ 1 มกราคาจนถึง 31 ธันวาคม ทั้งรายได้จากงานประจำและรายได้เสริมอื่นๆ
ค่าใช้จ่าย
ต้นทุนในการทำธุรกิจ หรือหากรับเป็นเงินเดือนสามารถหักค่าใช่จ่ายแบบเหมา 50% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนภาษี
สิทธิขอลดหย่อนภาษี ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนพื้นฐาน ครอบครัว การลงทุน กองทุน หรือประกัน อัตราภาษี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะคิดอัตราภาษีก้าวหน้าแบบขั้นบันได หรือแบบเหมาจ่าย ขึ้นอยู่กับว่าแบบใดจะเสียภาษีมากกว่าให้ยึดจ่ายตามนั้น
หารายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย
รายได้คือเงินได้ตลอดทั้งปีที่ได้รับนำมาบวกกันทั้งหมด วิธีหารายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย ตัวอย่าง นางสาว A มีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือน ได้รับโบนัส 60,000 บาท และมีรายได้จากงานอิสระรวม 50,000 บาทต่อปี แสดงว่ารายได้ตลอดทั้งปีของนางสาว A คือ
ค่าใช้จ่ายโดยทั่วไปจะคิดแบบเหมารวม ซึ่งสามารถนำมาหักได้ 50% ของรายได้จากงานประจำ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท ตัวอย่าง นางสาว A มีเงินเดือน 30,000 บาทต่อเดือน นำมาหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้
รายได้ x 50% = รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย470,000 x 50% = 235,000 บาท
ด้วยข้อจำกัดการหักค่าใช้จ่ายไม่เกิน 100,000 บาท แม้จะนำรายได้หักค่าใช้จ่ายได้ 235,000 แต่จะหักค่าใช้จ่ายได้เพียง 100,000 บาทเท่านั้น ดังนี้
470,000 - 100,000 = 370,000 บาทรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจริงจึงเท่ากับ 370,000 บาท
หารายได้สุทธิหักค่าลดหย่อนภาษี
สำหรับรายได้สุทธิเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่ารายได้จริงๆ อยู่ในระดับฐานภาษีเท่าไหร่ และต้องจ่ายภาษีในอัตรากี่เปอร์เซ็นต์ โดยรายได้สุทธิแต่ละระดับจะถูกคิดอัตราภาษีที่แตกต่างกันเป็นขั้นบันได ยิ่งมีเงินได้สุทธิมาก ยิ่งต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามไปด้วย โดยสามารถคิดรายได้สุทธิได้จากสูตรการคำนวณภาษี ดังนี้
“รายได้สุทธิ = เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน”
ข้อควรรู้สำคัญคือ สิทธิลดหย่อนภาษีของตัวเอง โดยค่าลดหย่อนหมายถึง ค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่กฎหมายอนุญาตให้หักจากรายได้ หรือที่เรียกกันว่าการลดหย่อนภาษี
สำหรับใครที่กำลังมองหากองทุน RMF หรือ SSF ลดหย่อนภาษีที่ผลการดำเนินงานโดดเด่น เพื่อเติมโอกาสทำกำไรให้พอร์ตกองทุน กรุงไทยมีตัวอย่างกองทุนที่น่าสนใจมาแนะนำ อาทิ
1.1) ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 บาท สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ค่าลดหย่อนคู่สมรส จำนวน 60,000 บาท สำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสจะต้องไม่มีรายได้ (ได้สูงสุด 1 คน) ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส จำนวนคนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน
1.2) ค่าลดหย่อนคู่สมรส จำนวน 60,000 บาท สำหรับคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสจะต้องไม่มีรายได้ (ได้สูงสุด 1 คน)
1.3) ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส จำนวนคนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 4 คน
2.1) กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท
2.2) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท โดย
2.3) กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds) เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว สามารถนำมาลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
2.4)RMF กองทุนเปิด KTAM WORLD เทคโนโลยี อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-WTAI RMF) กองทุนเปิดเคแทม เวียดนาม อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-VIETNAM RMF) กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-GOLD RMF) เป็นต้น
2.5) SSF กองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-INDIA-SSF) กองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-US-SSF) กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (ชนิดเพื่อการออม) (KT-FINANCE-SSF) เป็นต้น
เมื่อทราบรายได้สุทธิให้นำรายได้สุทธิมาเทียบกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได โดยนำรายได้ได้สุทธิคูณกับอัตราภาษีแต่ละขั้น เพื่อหาว่าเราต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่ โดยอัตราภาษีเพิ่มขึ้นตามเงินได้สุทธิที่มากขึ้น
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี (ตามขั้นบันได) = เงินภาษีที่ต้องจ่าย
นางสาว A มีรายได้ทั้งปี 470,000 บาท หักค่าใช้จ่ายได้ 100,000 บาท ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และค่าลดหย่อนจากประกันสังคม 9,000 บาท มีตัวช่วยลดหย่อนเพิ่มเติมคือ บริจาคเงินกับโรงพยาบาล 1,000 บาท สามารถนำมาลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคเท่ากับ 2,000 บาท
เงินได้ - ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ470,000 - 100,000 - 60,000 - 9,000 – 2,000 = 299,000 บาท
จากนั้นนำเงินได้สุทธิไปเทียบอัตราภาษีแบบขั้นบันได ซึ่งเงินได้สุทธิของนางสาว A จะอยู่ระหว่างฐาน 150,001 – 300,000 บาท อัตราภาษี 5% ซึ่งทำให้นางสาวซีต้องเสียภาษี ดังนี้
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี (ตามขั้นบันได) = เงินภาษีที่ต้องจ่าย299,000 – 150,000 (อัตราภาษีขั้นแรก) = 149,000 บาท149,000 x 5% = 7,450 บาท
จากตัวอย่างข้างต้นสรุปได้ว่านางสาว A ต้องเสียภาษีเป็นจำนวนเงิน 7,450 บาท
เมื่อทราบวิธีคำนวณภาษีและเห็นตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว ลองนำรายได้ของตัวเองมาคำนวณภาษี เพื่อเตรียมตัวสำหรับวางแผนการจ่ายภาษีล่วงหน้า และเช็คสิทธิลดหย่อนก่อนจะยื่นภาษี ไม่ว่าจะเป็นกองทุน หรือประกัน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook, Line@ หรือโทร 081-195-6915 ได้เลยค่ะ ธัญพล การบัญชี ยินดีให้คำปรึกษาค่ะ
รับทำบัญชีรายเดือน รายปี รับจดทะเบียน บจก. หจก. บุคคลธรรมดา, ปรึกษาภาษี, ปิดงบการเงิน, รับวางระบบบัญชี, วางแผนภาษี, รับทำบัญชีร้านค้าออนไลน์ สอบถามโทร : 081-195-6915
Previous Post
Next Post
ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขายสินค้าและบริการ คำว่า “ใบเสนอราคา“ (...)
ใบแจ้งหนี้ (Invoice) คือ เอกสารทางการค้าที่ผู้ขายออกให้แก่ผู้ซื้อเพื่อแสดง (...)
การเริ่มต้นธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จะต้องเริ่มจาก “การจดทะเบียนบริษัท” (...)
Your name
Your email
Subject
Your message (optional)
รับจดทะเบียน บจก. หจก. บุคคลธรรมดา รับทำบัญชีรายเดือน รายปี ปรึกษาภาษี ปิดงบการเงิน รับวางระบบบัญชี วางแผนภาษี รายงานสต็อคประจำเดือน/ปี รับทำบัญชีร้านค้าออนไลน์